การศึกษาของประเทศต่างๆ
“The World Top 20
Education Poll” เผยผลสำรวจระบบการศึกษาจากทั่วโลกกว่า 200 ประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางด้านการศึกษาของนักเรียนอายุตั้งแต่ 3-25 ปี ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ประกอบไปด้วยปัจจัยที่สำคัญในด้านการศึกษา 5 ข้อด้วยกัน คือ
1. อัตราการลงทะเบียนของเด็กช่วงปฐมวัย
2. โรงเรียนประถมศึกษา
คะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
3. โรงเรียนมัธยมศึกษา
คะแนนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
4. อัตราการสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา
5. อัตราการสำเร็จการศึกษาในระดับวิทยาลัย
การสำรวจในครั้งนี้เป็นการรวบรวมสถิติจาก 6 องค์กรระหว่างประเทศ คือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD), โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA), องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO),
หน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ (EIU), โครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
(TIMSS) และความคืบหน้าในระหว่างการอ่านและการเรียนรู้ (PIRLS)
ส่งไปยังกระทรวงศึกษาธิการของแต่ละประเทศเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล
โดยแต่ละหัวข้อจะทำการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุด 20 ประเทศ โดยจะให้คะแนนเต็ม 20
คะแนนสำหรับประเทศที่ได้อันดับที่ 1 และ 19 คะแนนสำหรับประเทศในอันดับที่ 2
เรียงลำดับคะแนนลดหลั่นกันมาตามลำดับจะถึงอันดับที่ 20 จะได้
1 คะแนน
โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาหาค่าเฉลี่ยจากคะแนนรวมทั้งหมด 5
ข้อ จนได้มาเป็น “20
อันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก” ดังนี้
เบลเยี่ยมมีระบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ
และแบ่งการปกครองออกเป็นสามภูมิภาคคือ ภูมิภาคแฟลนเดอร์สใช้ภาษาเฟลมมิช หรือ ดัชท์
ภูมิภาควอลลูนใช้ภาษาฝรั่งเศส และภูมิภาคบรัสเซลส์ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร
ระบบการเรียนการสอนจึงมีความแตกต่างตามภูมิภาค
นักเรียนแลกเปลี่ยนเบลเยี่ยมสามารถเลือกได้ว่าต้องการอยู่กับครอบครัวแถบที่ใช้ภาษาดัตช์
หรือ ภาษาฝรั่งเศส การเรียนปริญญาตรีที่เบลเยี่ยมใช้เวลาทั้งหมด 3 ปีขึ้นอยู่กับสาขาที่เรียน
อันดับที่ 19 : สาธารณรัฐประชาชนจีน
(China) PTS: 9
จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากถึง 1,370 ล้านคน อีกทั้งยังมีชนกลุ่มน้อยอีกจำนวนมาก
มีจำนวนนักเรียนนักศึกษามากกว่า 320 ล้านคน มีโรงเรียนจำนวน 680,000 โรงเรียน ซึ่งนับเป็นจำนวนที่สูงติดอันดับต้นๆ
ของโลกรัฐบาลประเทศจีนจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศเป็นอย่างมาก
รวมถึงการให้ความสำคัญกับนักศึกษาชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในจีน
ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ปัจจุบันมีนัก
เรียนจากประเทศไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศจีนประมาณ 2,500
คน
อันดับที่ 18 : สหรัฐอเมริกา (USA)
PTS: 12
การศึกษาภาคบังคับนักเรียนอเมริกันทุกคนจะได้รับสิทธิเรียนฟรีจนกระทั่งถึงเกรด
12 หรือจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
บรรยากาศการศึกษาในห้องเรียนของชาวอเมริกันนั้น
นักศึกษาจะต้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โต้เถียงเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง
มีส่วนร่วมในการสนทนา และนำเสนองานของตน
ซึ่งนักศึกษาชาวต่างชาติส่วนใหญ่เห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นใจที่สุดของระบบการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา
อันดับที่ 17 : ออสเตรเลีย (Australia)
PTS: 14
การศึกษาภาคบังคับของประเทศออสเตรเลีย คือ ปีที่ 1 - 10 (อายุ 6 - 15 ปี)
นักศึกษาต่างชาติสามารถสมัครเพื่อเข้าศึกษากับสถาบันในประเทศออสเตรเลียได้
ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอก มีโรงเรียนที่มีคุณภาพสูงจำนวนมาก
ทั้งที่เป็น โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน
และโรงเรียนที่ดำเนินการร่วมกับองค์กรศาสนา โรงเรียนของรัฐบาลจะเป็นประเภทไปกลับ (Day
School) ส่วนโรงเรียนเอกชนจะมีทั้งโรงเรียนประจำ (Boarding
School) และไป-กลับ
อันดับที่ 16 : อิสราเอล (Israel)
PTS: 15
อิสราเอลถือว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ค่อนข้างสูงประเทศหนึ่ง
โดยเฉพาะในด้านของการศึกษา
ในทัศนะคติของคนอิสราเอลจะถือว่าการศึกษาถือเป็นมรดกที่ล้ำค่า
ในปัจจุบันประเทศอิสราเอลอยู่ในอันดับที่ 3
ของโลก ของในอัตราการสมัครเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา การศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี (ตั้งแต่อายุ 5-16 ปี)
และรัฐได้จัดการศึกษาฟรีจนถึงอายุ 18 ปี
อันดับที่ 15 : สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
PTS: 16
เนื่องจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีทรัพยากรทางธรรมชาติ
การศึกษาและแหล่งการเรียนรู้จึงกลายมาเป็นทรัพยากรสำคัญ
จนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชนทั่วไปจะค่อนข้างแพง
มีมหาวิทยาลัยรวมทั้งหมด 11 แห่ง
กล่าวกันว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นต้นกำเนิดของวิชาการโรงแรม
จึงทำให้สาขานี้มีนักเรียนไทยให้ความสนใจและไปเรียนมากที่สุดนั่นเอง
อันดับที่ 14 : โปแลนด์ (Poland)
PTS: 18
ประเทศโปแลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
และสาขาวิชาที่ขึ้นชื่อคือ “สาขาแพทย์” และเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในเครือข่าย European Union เพื่อแลกเปลี่ยนด้านอื่นๆ
รวมทั้งการศึกษา ในปัจจุบัน โรมาเนีย,
เบลเยี่ยม, ฟินแลนด์, กรีซ,
อิตาลี, สเปน, โปตุเกส
และโปแลนด์ จะรับนักศึกษาโดยพิจารณาจาก GPA ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
และ Biology, Chemistry ,Physic เป็นตัววัดการได้เข้าศึกษาถึง
90 % และ อีก 10
% คือคุณสมบัติพิเศษเช่นภาษาอังกฤษ เป็นต้น
หลักสูตรแพทย์ในโปแลนด์ยังได้รับการรับรองจากแพทย์สภาอีกด้วย
อันดับที่ 13 : นิวซีแลนด์ (New Zealand) PTS: 18
เนื่องจากประเทศนิวซีแลนด์เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน
จึงได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมและระบบการศึกษาแบบอังกฤษมาใช้จนถึงปัจจุบัน
ทำให้นิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่มีการศึกษาที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
นอกจากนี้นิวซีแลนด์ยังมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียนหนังสือ
นักเรียนต่างชาติก็เป็นที่ต้อนรับของชาวนิวซีแลนด์
มหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์มีทั้งหมด 8
แห่ง เป็นของรัฐบาลทั้งหมด
และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพอีกด้วย
อันดับที่ 12 : รัสเซีย (Russia)
PTS: 23
รัสเซียให้ความสำคัญกับการศึกษามาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต จึงทำให้ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงแห่งหนึ่ง
ชาวรัสเซียส่วนมากจึงสามารถสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำทุกคน
นอกจากนั้นชาวรัสเซียยังเป็นนักอ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
มีการศึกษาหาความรู้กันอย่างจริงจัง อีกทั้งมีวิชาการ ความรู้และเทคโนโลยีเป็นของตนเองมาเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาก็นับว่าไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
อีกด้วย
อันดับที่ 11 : ไอร์แลนด์ (Ireland)
PTS: 28
อีกหนึ่งประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยมอันดับต้นๆ ของโลก
โดยรัฐบาลไอร์แลนด์มุ่งมั่นจะสร้างประเทศให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัย
นอกจากนี้ประเทศไอร์แลนด์ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้นิยมมาเรียนภาษาอังกฤษมากที่สุด
โดยในแต่ละปีมีจำนวนนักเรียนประมาณ 200,000 คน ที่มาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก
โดยมีหน่วยงานของรัฐบาลไอร์แลนด์รับรองคุณภาพทางการศึกษา
อันดับที่ 10 : เยอรมนี (Germany) PTS: 28
เยอรมันเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่ม OECD ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กๆ อยู่ในระดับสูงทั้งในระดับมัธยมศึกษา
และในระดับอุดมศึกษา การเรียนในระดับอุดมศึกษาของเยอรมันนั้น สามารถเลือกเรียนในสถาบันต่างๆ
5 ประเภทด้วยกันคือ Universitaet เน้นการเรียนการสอนทางด้านทฤษฏี,
Fachhochschule มหาวิทยาลัยเน้นทางปฏิบัติ, Gesamthochschule
รวม Universitaet และ Fachhochschule ไว้ในสถาบันเดียวกัน, Paedagogische Hochschule วิทยาลัยครู
และ Kunsthochschule วิทยาลัยศิลปะ
อันดับที่ 9 : เดนมาร์ก (Denmark)
PTS: 29
ประเทศเดนมาร์กมีระบบการศึกษาที่ได้รับการพัฒนาและมีความน่าสนใจ อาทิเช่น
ระบบการศึกษาภาคบังคับที่ยืดหยุ่น การศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายที่หลากหลาย
การศึกษาต่อเนื่องที่หลายหน่วยงานมีส่วนร่วม การเน้นการวิจัยในระดับอุดมศึกษา
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและนักเรียนมีส่วนร่วมออกความคิดเห็น
นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องโรงเรียนและการศึกษาได้อีกด้วย
อันดับที่ 8 : แคนาดา (Canada)
PTS: 41
แคนาดาเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูง ระบบการเรียนของแคนาดา
จะอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละจังหวัดและมณฑล โดยจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
ยกเว้นในควิเบก (Quebec) ซึ่งจะมีระบบการศึกษาที่แตกต่างออกไป
ประกอบด้วยระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา วิทยาลัยทั่วไปและวิทยาลัยอาชีพ (CEGEP)
นอกจากนี้ประเทศแคนาดายังเป็นประเทศที่มีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีติดอันดับโลกอีกด้วย
อันดับที่ 7 : เนเธอแลนด์ (Netherlands)
PTS: 42
ประเทศเนเธอแลนด์ดินแดนกังหันลม
จุดหมายปลายทางที่นักศึกษาจากทั่วโลกที่นิยมมาเรียนต่อตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอกไม่แพ้ประเทศอื่นๆ
ในแถบยุโรป ระบบการศึกษาของประเทศเนเธอร์แลนด์แตกต่างจากที่อื่น
เพราะที่นี่จะให้อิสระโรงเรียนในการจัดการศึกษาอย่างเต็มที่
รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องการบริหารจัดการอีกด้วย
อันดับที่ 6 : ฮ่องกง (Hong
Kong) PTS: 43
ฮ่องกงใช้เวลาทำการปฏิรูปการศึกษาอยู่ 12 ปี โดยเริ่มเมื่อ ปี ค.ศ. 2000
การปฏิรูปการศึกษาประสบผลสำเร็จอย่างน่าชื่นชม
ฮ่องกงกล้าที่จะยกเลิกระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมของอังกฤษแทบทั้งหมด
สร้างความเป็นนานาชาติที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับวิถีชีวิตเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าได้อย่างเหมาะสมได้ทุกระบบ
ยกเลิกการสอบแบบ o-Level และ A-Level มาเป็นการสอบระดับชาติเพียง
1 ครั้ง ขยายการศึกษาภาคบังคับจาก 9 ปี
เป็น 12 ปี ขยายเวลาเรียนจบในระดับปริญญาตรีจาก 3 ปี เป็น 4 ปี เป็นต้น
อันดับที่ 5 : สหราชอาณาจักร (United
Kingdom) PTS: 48
การศึกษาภาคบังคับของสหราชอาณาจักร เริ่มตั้งแต่อายุ 5 ปี ไปจนถึง 16 ปี
โรงเรียนมีทั้งประเภท โรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชน
การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยปัจจุบันมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรมีประมาณ 96 แห่ง เป็นของรัฐบาลเกือบทั้งหมด ยกเว้น University of Buckingham ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเพียงแห่งเดียวการศึกษาระดับอุดมศึกษา
อันดับที่ 4 : ฟินแลนด์ (Finland)
PTS: 48
โรงเรียนในประเทศฟินแลนด์ไม่มีเครื่องแบบนักเรียน ไม่มีการสอบเข้าสถานศึกษา
ไม่มีค่าธรรมเนียมทางการศึกษา ไม่มีการจัดอันดับสถานศึกษา
ไม่มีหน่วยงานคอยควบคุมวัดระดับเพื่อประเมินผล
การศึกษาภาคบังคับเริ่มต้นเมื่อเด็กอายุ 7
ปี ไม่เน้นการเรียนอนุบาลแต่จะเน้นให้อยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด
ระดับประถมจะใช้เวลาเรียนน้อยและให้เด็กได้ทำในสิ่งที่สนใจมากกว่า
ที่สำคัญจะไม่เน้นเรื่องการแข่งขันจึงไม่มีเกรดเฉลี่ย
อันดับที่ 3 : สิงคโปร์ (Singapore)
รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ
และมีค่าที่สุดของประเทศ
จึงสนับสนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า โรงเรียนในระดับประถม
และมัธยมล้วนเป็นโรงเรียนของรัฐบาลหรือกึ่งรัฐบาล สถานศึกษาของเอกชนในสิงคโปร์
มีเฉพาะในระดับอนุบาล และโรงเรียนนานาชาติเท่านั้น การเรียนการสอนในประเทศสิงค์โปร์นี้จะเน้นความง่าย
เรียนจากความเป็นจริง และสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ 4 ด้านคือ เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษา
การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์นั้นเป็นอันดับ 1
ทางด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะคณิตศาสตร์นั้นค่อนข้างเป็นกล่าวถึง
จนหลายๆประเทศได้นำหลักสูตรมาพัฒนาใช้ในโรงเรียน
เทคนิคการเรียนแบบสิงคโปร์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน
1.เรียนรู้จากประสบการณ์ ของจริงที่จับต้องได้ เช่น
การนับเหรียญ การทอยลูกเต๋า …
2.นำสิ่งที่ได้เรียนมาวาดเป็นรูป โดยใช้ bar
model หาคำตอบ
3.แก้ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้จำนวนและสัญลักษณ์
ซึ่งหลักการเรียนคณิตศาสตร์ด้วยแนวทางนี้
รัฐบาลสิงคโปร์ใช้ฐานจากทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์โดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกาชื่อว่า
Jerome Bruner ได้ค้นพบว่า ขั้นตอนการเรียนรู้ของสมองมนุษย์แบ่งเป็น
3 ขั้นตอนคือ สัมผัส/เรียนรู้จากของจริง
ต่อไปเปลี่ยนเป็นรูปภาพ และสุดท้ายเป็นสัญลักษณ์เพื่อจดจำในสมอง
จะเห็นว่าแนวทางการเรียนคณิตศาสตร์แบบสิงคโปร์
ทำให้เด็กๆพัฒนากระบวนการคิดได้เป็นอย่างดีทีเดียว
อันดับที่ 2 : ญี่ปุ่น (Japan)
PTS: 55
ประเทศญี่ปุ่น
เป็นประเทศที่มีมาตรฐานทางด้านการศึกษาในระดับสูง
โดยระบบการศึกษาของประเทศได้รับต้นแบบมาจากระบบการศึกษาของหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น
ประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และอเมริกา
นอกจากเทคโนโลยีที่มาใช้ในการศึกษาได้อย่างทั่วถึงแล้ว ความสำเร็จทางการศึกษาของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล
ในการสอบวัดความรู้ด้านคณิตศาสตร์นานาชาติ เด็กญี่ปุ่นถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ
มาโดยตลอด
การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ของญี่ปุ่น
การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่นใช้วิธีการแบบเปิด (open approach)ครูจะทำวิจัย (lesson study : ศึกษาและพัฒนาบทเรียนที่ออกแบบเอง) ตลอดเวลาโดยมีการเปิดชั้นเรียน (open
classroom) ให้เพื่อนครูเข้าไปสังเกตการสอนและ ร่วมประชุม
แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ หลังการสอน เพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าของบทเรียนสามารถโต้แย้ง แสดงเหตุผลในการออกแบบของตนได้
ว่าดีกว่าข้อเสนอแนะของเพื่อนหรือไม่ อย่างไร
ต้องสามารถอธิบายให้เพื่อนเข้าใจได้
หลังจากการถกแถลงและอภิปรายแล้ว ถ้าข้อเสนอของเพื่อนดีกว่า
ก็ต้องยอมรับเพื่อปรับปรุง แต่ถ้าเหตุผลของเจ้าของบทเรียนดีกว่า เพื่อน ๆ
ก็จะยอมรับ
การสอนคณิตศาสตร์ของครูญี่ปุ่น เน้นการคิดที่แตกต่างของเด็ก
และเน้นความสามารถของเด็กในการค้นหาความสัมพันธ์ ด้วยตนเอง ตั้งแต่ชั้น ป. 1
อันดับที่ 1 : เกาหลีใต้ (South
Korea) PTS: 59
ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ มาแรงแซงทุกประเทศ “New Education System” มุ่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการเป็นสังคมแห่งความรู้
สร้างสภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อให้คนเกาหลีมีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย และที่สำคัญคือมีจริยธรรม
แต่ยังคงความเป็นเลิศด้านการศึกษาและดำรงมาตรฐานของระบบการศึกษาของเกาหลี
ดังจะเห็นได้จากนักเรียน-นักศึกษาของประเทศเกาหลีจะเรียนหนักมาก
ผู้ปกครองก็ให้การสนับสนุนด้านการศึกษาเป็นอย่างดี
อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการเรียนการสอนอีกด้วย
การศึกษาคณิตศาสตร์ในประเทศเกาหลี
ในประเทศเกาหลีมีการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์มาตั่งแต่อดีต
โดยเฉพาะสมัยของพระเจ้าเซจองที่มีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมาก
โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ในสมันนั้นมีนักคณิตศาสตร์ชื่อ จางยองซิล มีบทบาทมากในสมัยนั้น
เขาเป็นผู้ประดิษฐ์มาตรวัดน้ำฝน และ สิ่งประดิษฐ์อื่นๆอีกมากมาย
เขามักถือหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนึ่งติดตัวเสมอ
ซึ่งคือหนังสือคณิตศาสตร์ที่ชื่อว่า ซันฮักคเยมง แปลว่า ความรู้ทางคณิตศาสตร์
ซึ่งมาจากหนังสือคณิตศาสตร์ของจีน หนังสือเล่มนี้เน้นวิธีการคำนวณเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
จึงนับเป็นตำราเรียนเล่มสำคัญในสมัยนั้น
ที่มา : https://blog.eduzones.com/GlobalAcademyLadphrao/142811
http://tinmath.blogspot.com/2011/01/blog-post_27.html
https://kingmaththewalk.wordpress.com/2014/12/24/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น